สังคมผู้สูงอายุ

สังคมผู้สูงอายุ จากนิยามจะเห็นว่า “สังคมสูงวัย” คือสังคมที่มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกัน อัตราการเจริญพันธุ์และประชากรวัยทำงานกลับลดลง ประเทศอื่น ๆ รอบตัวเราก็ประสบปัญหานี้แล้ว เช่น สิงคโปร์ เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงอายุก็ใกล้เคียงกันกับประเทศไทย เกาหลีใต้ เข้าสู่สังคมสูงวัยในฐานะสังคมผู้สูงอายุ ญี่ปุ่นมีอัตราผู้สูงอายุสูงที่สุดในโลก สำหรับประเทศของเราที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุขั้นรุนแรง (Super-aging Society) การเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมผู้สูงอายุก็จะเกิดขึ้นด้วยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20-30% แสดงว่าทุกๆ 100 คน น่าจะมีผู้สูงอายุ 30 คน ตามมาด้วยปัญหาสุขภาพและโรคเรื้อรังต่างๆ แต่จริงๆ แล้วคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจว่า การจัดการกับสิ่งนี้เป็นเพียงการจัดการกับสุขภาพของผู้สูงอายุ ดังนั้นการแก้ปัญหาสำคัญจึงมักจำกัดอยู่เพียงกลุ่มเดียว เช่น การจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ โครงการสวัสดิการต่าง ๆ แต่มิได้นำไปสู่การเตรียมความพร้อมตั้งแต่วัยที่กระฉับกระเฉง ดังนั้นจึงเป็นสถานการณ์ที่ต้องให้ความสนใจอย่างมาก ประชากรสูงอายุของญี่ปุ่น รวมถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

จากข้อมูลสถิติในปี 2562 ประชากรโลกมีจำนวน 7,713 ล้านคน และจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุเกิน 60 ปีมีมากถึง 1,016 ล้านคน จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 5 ของประชากรโลก และอัตราการเจริญพันธุ์จะลดลงเหลือเพียง 610,000 คน ในขณะที่จำนวนผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 ล้านคน และยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป กำไร. ดังนั้นเราจึงต้องให้ความสำคัญกับคนวัยนี้มากขึ้น นอกจากนี้ จากการสำรวจพบว่า ในปี 2565 ประเทศไทยจะกลายเป็น “สังคมผู้สูงอายุ” โดย 20% ของประชากรทั้งหมดจะมีอายุมากกว่า 60 ปี ในปี 2576 28% ของประชากรทั้งหมดจะมีอายุมากกว่า 60 ปีใน “สังคมผู้สูงอายุขั้นสูง” และการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อระดับบุคคลด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาระการดูแลพยาบาลที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มวัยทำงาน ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสัดส่วนกำลังแรงงาน 4:1:1 ผู้สูงอายุ เด็ก เงินออม นี่เป็นขีดจำกัดคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย

ลักษณะของ สังคมผู้สูงอายุ

สังคมผู้สูงอายุ

  • สังคมผู้สูงอายุ คือ สังคมที่ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันของประชากรทุกวัย 10% ขึ้นไปของประชากรทุกวัยในพื้นที่เดียวกัน หรือ 7% ขึ้นไปของประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปอาศัยอยู่ในพื้นที่
  • ชุมชนสูงวัย คือ ชุมชนที่มีผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกันเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมดในพื้นที่เดียวกัน นอกจากนี้ ประชากรทุกกลุ่มอายุ 20% ขึ้นไปในพื้นที่เดียวกัน หรือ 14% ขึ้นไปของประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปอาศัยอยู่ในพื้นที่
  • คนไทยจะมีอายุขัยยืนยาวขึ้น ปัจจุบันเฉลี่ยประมาณ 75 ปี แต่ในปี 2568 ประมาณการอายุขัยของคนไทยจะอยู่ที่ 85 ปี มีความจำเป็นมากขึ้นที่จะต้องจัดหาเงินให้มากขึ้น
  • ด้วยอัตราเงินเฟ้อประมาณ 4% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ข้าวตอนนี้ราคาจานละ 40 บาท และอาจถึง 90 บาทต่อจานในอีก 20 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังลดมูลค่าในอนาคตของสกุลเงินซึ่งทำให้มีราคาแพง
  • ค่ารักษาพยาบาลยังคงเพิ่มสูงขึ้นในอัตราปีละ 5-8% และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เงินออมของผู้สูงอายุตึงเครียดมากที่สุด ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุเฉลี่ยมากกว่า 30,000 บาทต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 1 ครั้งครึ่ง ซึ่งสูงกว่าผู้สูงอายุที่ไม่ใช่ผู้สูงอายุประมาณ 10,000 บาท
  • การเปลี่ยนแปลงทางประชากร: ครอบครัวสมัยใหม่มีลูกหนึ่งคน ประชากรวัยทำงานมีจำนวนน้อยลง การพัฒนาประเทศชะลอตัวลง ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลง
  • การออมเพื่อการเกษียณไม่เพียงพออีกต่อไป ปัญหานี้อาจเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด สรุป ถ้าคุณอายุ 40 คุณต้องมีเงิน 240,000 บาทต่อปีหลังเกษียณ แต่นั่นคือมูลค่าปัจจุบันของเงินของคุณ อยากเกษียณใน 60 หรือ 20 ปี จาก 240,000 บาท เป็น 530,000 บาท เงินเฟ้อ 4% อยากได้อย่างน้อย 10 ล้านบาท มีเงินใช้ไปอีก 20 ปี ถึงอายุ 80 ปี
  • เปอร์เซ็นต์ของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันไทยเป็นประเทศที่เติบโตเร็วเป็นอันดับ 3 ของโลก และอันดับ 2 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และภายใน 15 ปี ไทยจะแซงหน้าสิงคโปร์
  • โรคที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2554 คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทุกๆ 4 นาที และคนไทยเสียชีวิตทุกๆ 6 นาที คนไทยเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจทุกๆ 6 นาทีจากโรคหลอดเลือดสมอง และคนอายุ 90 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึง 30% สองครั้ง

วิธีรับมือกับสังคมผู้สูงอายุ

  • คุณควรเริ่มต้นด้วยการจัดการแผนดูแลสุขภาพหลังเกษียณของคุณ ร่างแผนสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีหลังเกษียณของคุณ และตรวจสอบให้แน่ใจว่า: สวัสดิการด้านสุขภาพใดที่จะยังคงมีให้หลังเกษียณ? ถ้าไม่ คุณต้องย้ายไปทำประกันสุขภาพเพื่อให้ครอบคลุมอายุขัยของคุณและนำเงินไปลงทุนเพื่อให้คุ้มค่า ฉันมีแผนสุขภาพระยะยาวเพียงพอที่จะจ่ายเบี้ยของฉันในอนาคต
  • เร่งค่าของเงินเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ: เงินเฟ้อลดมูลค่าของเงินในอนาคต ดังนั้นเราต้องลงทุน การเร่งค่าเงินเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อ มีทางเลือกมากขึ้นสำหรับการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะการลงทุนที่ได้ภาษีคืน เช่น RMF LTF และเงินรายปี เมื่อคุณได้รับภาษีคืนแล้ว คุณสามารถใช้เงินคืนภาษีเพื่อลงทุนเพิ่มและเพิ่มความมั่งคั่งของคุณ
  • การขยายอายุเกษียณ: หลายประเทศใช้นโยบายนี้เพื่อเพิ่มประชากรวัยทำงาน สิงคโปร์จะเพิ่มอายุเกษียณจาก 65 เป็น 67 ในปีนี้ เกาหลีใต้จะเพิ่มอายุเกษียณจาก 55 เป็น 60 ในปีนี้ และญี่ปุ่นจะเพิ่มอายุเกษียณจาก 62 เป็น 65 ภายในปี 2568 ฉันยอมรับว่าจะทำงานจนแก่ ครม.พิจารณาขยายอายุเกษียณคนทำงานจาก 55 ปี เป็น 60 ปี
  • สนับสนุนให้บริษัทจ้างงานผู้สูงอายุ ในประเทศไทย รัฐบาลได้เริ่มจัดตั้งศูนย์บริการสำหรับผู้สูงอายุ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับบริษัทที่จ้างงานผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท เพื่อส่งเสริมการจ้างงานและการเติบโตของรายได้ของผู้สูงอายุ เพียง 2.9% ของทั้งหมด ผู้สูงอายุทั่วประเทศ ดังนั้น นโยบายนี้จึงรองรับเฉพาะแรงงานที่มีรายได้น้อย ไม่สนับสนุนการใช้ทักษะและประสบการณ์ของผู้สูงอายุเพื่อประโยชน์สูงสุดของพวกเขา
  • พัฒนาทักษะและจัดหางานที่ตรงกับพนักงาน: เพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ของคุณ ปรับปรุงประสิทธิภาพแรงงานในระยะยาว สามารถทำได้ทั้งการศึกษาตลอดชีวิตทั้งในระบบและนอกระบบ โดยมักได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะนี้ประเทศไทยมีโครงการฝึกอบรมแรงงานสูงอายุเพื่อสร้างโอกาสทางอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น ประกันสังคมที่ให้ผู้สูงอายุมีอิสระ
  • คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น: วางแผนล่วงหน้า ภาครัฐมีส่วนสำคัญในการวางโครงสร้างพื้นฐานให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ รวมถึงการกระจายรายรับและรายจ่ายอย่างสมดุล โดยส่วนใหญ่ผ่านการจัดตั้งกองทุนการออมเพื่อรายได้หลังเกษียณ สังคมผู้สูงอายุ

บทความที่น่าสนใจ